ห้วงภวังค์ลวงตา: คดีลับมิติที่ห้า
ชีวิตคนเรานี่มันก็แปลกนะสารวัตร ผมทำงานมานาน เจอมาสารพัดคดี ทั้งฆาตกรโรคจิต โจรปล้นธนาคาร หรือแม้แต่เรื่องผีสางที่คนเล่าต่อๆ กัน แต่ไม่เคยมีคดีไหนที่ทำให้ผมต้องย้อนกลับมาถามตัวเองมากเท่าคดีนั้นอีกแล้ว คดีที่ผู้คนต่างเรียกมันว่า "คดีปริศนาแห่งมิติที่ห้า" มันไม่ใช่แค่คดีฆาตกรรม แต่มันคือกระจกที่สะท้อนบางสิ่งบางอย่างในตัวผมออกมาด้วย
เสียงกระซิบจากความว่างเปล่า
คดีเริ่มขึ้นเมื่อศพของนายแพทย์วิชัย จิตแพทย์ชื่อดัง ถูกพบในห้องทำงานส่วนตัวของเขา สภาพศพนั้นทำให้ผมที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากยังต้องสะท้าน ใบหน้าของแกแข็งค้างด้วยความหวาดกลัวขั้นสุด ราวกับได้เห็นบางสิ่งที่ไม่ควรเห็น ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ไม่มีอาวุธ แต่ที่ผนังห้อง กลับมีสัญลักษณ์แปลกประหลาดที่เหมือนภาพร่างของมิติทางเรขาคณิตที่ไม่เคยพบเห็น เขียนอยู่ข้างต้นฉบับหนังสือที่ยังไม่สมบูรณ์ดีของเขา หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า "ทฤษฎีแห่งมิติที่5" แค่นั้นแหละครับ ที่ทำให้ทั้งสถานีต้องปั่นป่วนกับคำว่า 'มิติที่5' นี้
เงาอดีตในปัจจุบัน
ในฐานะสารวัตรผู้รับผิดชอบ ผมเริ่มการสอบสวน ชีวิตผมก็ใช่ว่าจะราบรื่นนัก ผมแบกรับความทรงจำเรื่องน้องสาวที่หายสาบสูญไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว บางคืนผมก็ฝันถึงเธอ ภาพนั้นหลอกหลอนผมเสมอ ทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไป หรือความผิดปกติ ผมมักจะเข้าไปพัวพันด้วยความหวังอันเลือนราง การได้อ่านงานเขียนของนายแพทย์วิชัยทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมดิ่งลงไปในความกังวลของเขา นายแพทย์วิชัยเป็นที่รู้จักในหมู่นักวิชาการว่าเป็นคนหัวก้าวหน้า แต่ก็มีหลายคนมองว่าเขาเป็นพวกชอบทฤษฎีเพี้ยนๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เขาเชื่อมั่นว่ามี 'มิติที่5' ที่ซ่อนอยู่ในจิตสำนึกของมนุษย์เรา
เส้นแบ่งที่พร่าเลือน
ยิ่งสืบสวนลึกลงไป ผมยิ่งพบว่านายแพทย์วิชัยกำลังทดลองบางอย่างที่ล้ำเส้น เขาเชื่อว่าภาวะทางจิตที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้าสุดขีด หรือความสุขเกินจริง สามารถเปิดประตูสู่การรับรู้ใน 'มิติที่5' ได้ บันทึกของเขาเต็มไปด้วยเรื่องราวประหลาดของผู้ป่วยที่อ้างว่าได้เห็น ได้ยินสิ่งที่ไม่ใช่โลกปกติ คนรอบข้างต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีใครมีแรงจูงใจที่จะฆ่านายแพทย์ผู้ใจดีและมุ่งมั่นคนนี้เลย ราวกับว่าศัตรูของเขาไม่ใช่คน แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในโลกอีกมิติหนึ่ง หรือเป็นสิ่งที่เขาเองเฝ้าค้นหา มันทำให้เส้นแบ่งระหว่างความเป็นจริงกับความเพ้อฝันของผมเองเริ่มพร่าเลือนตามไปด้วย
ปริศนาแห่งจิตใต้สำนึก
ผมเริ่มติดหล่ม การสอบสวนไม่คืบหน้า รูปคดีไม่ไปไหน ผมกลับมานั่งทบทวนเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง สัญลักษณ์บนผนัง ความหวาดกลัวบนใบหน้าของนายแพทย์วิชัย และแนวคิดเรื่อง 'มิติที่5' ของเขา ผมเริ่มคิดว่า บางที 'มิติที่5' อาจไม่ใช่สถานที่ แต่มันคือสภาวะของจิตใจ สภาวะที่มนุษย์เราเข้าถึงได้เมื่อจิตถูกกระตุ้นถึงขีดสุด ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความเศร้า หรือความจริงที่รับไม่ได้ ผมเริ่มมองย้อนไปที่ความเจ็บปวดในอดีตของตัวเอง การจากไปของน้องสาว ผมเคยคิดว่าผมเห็นเธอในความฝัน เห็นเธอในเงาสะท้อน แต่มันอาจเป็นแค่ 'มิติที่5' ที่ผมสร้างขึ้นในจิตใจ เพื่อหลีกหนีจากความจริงที่เจ็บปวด
แสงสว่างจากความมืดมิด
ผมตระหนักได้ว่า นายแพทย์วิชัยไม่ได้ถูกฆาตกรรมโดยคนจาก 'มิติที่5' แต่เขาน่าจะเปิดประตูสู่มิตินั้นด้วยตัวเอง และสิ่งที่เขาพบเจอในห้วงลึกของจิตสำนึก หรือสิ่งที่เขาค้นพบจากทฤษฎีของเขา มันน่ากลัวเกินกว่าที่จิตใจของมนุษย์คนหนึ่งจะรับไหว ความตายของเขาไม่ใช่การถูกฆ่า แต่เป็นการที่จิตใจแตกสลายเพราะการเผชิญหน้ากับความจริงที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ สัญลักษณ์บนผนังจึงไม่ใช่เบาะแสจากฆาตกร แต่เป็นการพยายามบันทึกสิ่งที่เขาเห็น หรือสิ่งที่เขาสัมผัสได้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต ผมไม่ได้จับกุมใคร แต่ผมได้ค้นพบความจริงที่ลึกซึ้งกว่านั้น ความจริงที่ว่าบางครั้ง ปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ได้อยู่ภายนอก แต่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจเราเอง
บทเรียนจากคดี 'มิติที่5' ทำให้ผมเข้าใจว่า โลกที่เราเห็นอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่ง และยังมีอีกหลายมิติซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นมิติทางกายภาพ หรือมิติทางจิตใจ บางครั้งการที่เราได้เผชิญหน้ากับความกลัวและอดีตของเราเอง คือการเปิดประตูสู่ความเข้าใจที่แท้จริง ไม่ได้มีแค่ความน่ากลัว แต่ยังมีความงดงามของสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันอาจจะนำพาเราไปสู่การค้นพบและยอมรับในสิ่งที่ทำให้เราเป็นเรา และการคลี่คลายปมในใจตัวเองนั้น อาจจะเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่าการจับฆาตกรได้เสียอีก นี่แหละครับ ชีวิต มันก็สอนให้เราเข้าใจอะไรแบบนี้เสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น